วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กุหลาบสีรุ้ง


         กุหลาบสีรุ้ง ดอกไม้ที่มี 7 สี สวยงามเช่นเดียวกับรุ้งกินน้ำในยามฝนตก เป็นแสงสีที่เกิดจากละอองฝนกับแสงแดดกระทบกัน กุหลาบสีรุ้งมีลักษณะเด่นตรงที่ดอกโต กลิ่นหอม มี 7 สี สีสันสวยงามแปลกตา และบานได้นานนับเดือน เป็นหนึ่งในดอกไม้สวยงามในหลายชนิด ที่ได้รับคัดเลือกให้นำมาจัดแสดงในงานไม้ดอกเชียงราย ครั้งที่ 11 ที่สวนตุงและโคม อำเภอเมืองเชียงราย ในช่วงที่ผ่านมา/กรองกาญจน์ ลือพักตร์ 
         ความสวยงามได้เชิญชวนให้ผู้ที่มาเที่ยวสนใจแวะเวียนเข้าชมและถ่ายภาพกันอย่างต่อเนื่องความสวยงามของดอกกุหลาบสีรุ้งจึงเหมาะที่จะเลือกใช้เป็นดอกไม้ที่มอบให้กันในวันแห่งความรักและในโอกาสอื่นๆ


         การปลูกและผลิตกุหลาบสีรุ้ง เป็นหนึ่งไม้ดอกจากหลายชนิดที่เป็นทางเลือกในการเสริมสร้างรายได้สู่วิถีที่มั่นคงยั่งยืนของเกษตรกร เป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับท่านที่กำลังมองหาอาชีพใหม่ และเป็นหนึ่งทางเลือกที่ท่านจะมีดอกกุหลาบสีรุ้งใช้แทนใจในวันแห่งความรัก วันนี้จึงนำเรื่อง กุหลาบสีรุ้ง...ดอกไม้งาม สร้างรายได้มั่นคงยั่งยืน มาบอกเล่าสู่กัน

         คุณจำรัส แซ่จัง เกษตรกรผู้ปลูกและผลิตกุหลาบสีรุ้ง เล่าให้ฟังว่า การปลูกและผลิตดอกกุหลาบสีรุ้งนั้น ใช้เทคนิคไม่ยาก เพียงแต่ต้องคัดเลือกสายพันธุ์ต้นกุหลาบให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะปลูก ก่อนปลูกกุหลาบ ได้ค้นคว้าศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของกุหลาบ แต่ละพันธุ์ไม่จะเหมือนกัน จึงต้องพิจารณาเลือกให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ปลูก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธาตุอาหารในดิน ความเข้มของแสงแดด สภาพความชื้นในอากาศ หลังจากปลูกต้องปฏิบัติดูแลบำรุงรักษาด้วยการใส่ปุ๋ยสูตรใดจึงจะเหมาะสมถูกต้อง และให้น้ำอย่างเพียงพอ จึงจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกุหลาบสีรุ้งได้ดี

         ในแปลงปลูกได้คัดเลือกสายพันธุ์กุหลาบไว้ประมาณ10สายพันธุ์แต่ละพันธุ์เหมาะสมที่จะปลูกในเขตพื้นราบอำเภอแม่จันรวมทั้งเขตหนาวบนภูเขาสูง จากนั้นจึงคัดแยกไปปลูก ซึ่งได้ปลูกทั้งในระยะชิด และระยะห่าง ซึ่งจะให้ผลผลิตที่ต่างกัน การปลูกระยะชิดได้ผลผลิตปริมาณมาก การปลูกระยะห่างจะได้ผลผลิตน้อย แต่ได้ดอกกุหลาบดี มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยมที่ตลาดต้องการซื้อ

หม้อข้าวหม้อเเกงลิง


หม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นไม้เลื้อย มีระบบรากที่ตื้นและสั้น สามารถสูงได้หลายเมตร ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตรหรืออาจหนากว่านั้นในบางชนิด เช่น N. bicalcarata เป็นต้น จากลำต้นไปยังก้านใบที่มีลักษณะใบคล้ายกับสกุลส้ม ยาวสุดสายดิ่งซึ่งบางสายพันธุ์ใช้เป็นมือจับยึดเกี่ยว แล้วจบลงที่หม้อที่เป็นใบแท้แปรสภาพมา หม้อเริ่มแรกจะมีขนาดเล็กและค่อยๆ โตขึ้นอย่างช้าๆ จนเป็นกับดักทรงกลมหรือรูปหลอด
ส่วนประกอบพื้นฐานของหม้อบน
หม้อจะบรรจุไปด้วยของเหลวที่พืชสร้างขึ้น อาจมีลักษณะเป็นน้ำหรือน้ำเชื่อม ใช้สำหรับให้เหยื่อจมน้ำตาย จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าในหม้อข้าวหม้อแกงลิงหลายชนิด ของเหลวจะบรรจุไปด้วยสารเหนียวที่ถูกผสมขึ้นเป็นสำคัญเพื่อใช้ย่อยแมลงในหม้อ ความสามารถของของเหลวที่ใช้ดักจะลดลง เมื่อถูกทำให้เจือจางโดยน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้นที่เป็นถิ่นอาศัยของพืชสกุลนี้
ส่วนล่างของหม้อจะมีต่อมสำหรับดูดซึมสารอาหารจากเหยื่อที่จับได้ ส่วนบริเวณด้านบนจะมีผิวลื่นเป็นมันใช้เพื่อป้องกันเหยื่อหนีรอดไปได้ ทางเข้าของกับดักเป็นส่วนประกอบที่เรียกว่าเพอริสโตม จะลื่นและเต็มไปด้วยสีสันที่ดึงดูดเหยื่อเข้ามาและเสียหลักลื่นหล่นลงไปในหม้อ ส่วนฝาหม้อใช้ป้องกันไม่ให้น้ำฝนตกลงไปผสมกับของเหลวในหม้อ และด้านข้างจะมีต่อมน้ำต้อยไว้ดึงดูดเหยื่ออีกทางหนึ่งด้วย
โดยปกติหม้อข้าวหม้อแกงลิงจะสร้างหม้อขึ้นมา 2 ชนิด คือหม้อล่าง เป็นหม้อที่อยู่แถวๆโคนต้นมีขนาดใหญ่ สีสันสวยงาม อีกชนิดคือหม้อบนที่มีขนาดเล็ก ก้านหม้อจะลีบแหลม รูปทรงของหม้อจะเปลี่ยนไป และสีสันจืดชืดกว่า หรือความแตกต่างอีกอย่างคือ หม้อล่างทำหน้าที่ล่อเหยื่อและดูดซึมสารอาหารไปใช้ในการเจริญเติบโต ส่วนหม้อบน เมื่อต้นโตขึ้น สูงขึ้น หม้อบนจะลดบทบาทการหาเหยื่อ แต่เพิ่มบทบาทการจับยึด โดยก้านใบจะม้วนเป็นวง เกาะเกี่ยวกิ่งไม้ข้างๆ ดึงเถาหม้อข้าวหม้อแกงลิงให้สูงขึ้นและมั่นคงขึ้นไม่โค่นล้มโดยง่าย แต่ในบางชนิดเช่น N. rafflesiana เป็นต้น หม้อที่ต่างชนิดกัน ก็จะดึงดูดเหยื่อที่ต่างชนิดกันด้วย
เหยื่อของหม้อข้าวหม้อแกงลิงโดยปกติแล้วจะเป็นแมลง แต่บางชนิดที่มีหม้อขนาดใหญ่ (N. rajahN. rafflesiana เป็นต้น) บางครั้งเหยื่ออาจจะเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก เช่น หนู และสัตว์เลื้อยคลานดอกของหม้อข้าวหม้อแกงลิงนั้น ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจะหรือช่อแยกแขนง จะแยกเพศกันอย่างชัดเจน แบบหนึ่งต้นหนึ่งเพศ ฝักเป็นแบบแคปซูล 4 กลีบและแตกเมื่อแก่ ภายในประกอบไปด้วยเมล็ด 10 ถึง 60 เมล็ดหรือมากกว่านั้น เมล็ดแพร่กระจายโดยลม 
                       
                       ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดอกไม้หม้อข้าวหม้อแกง

ไฮเดรนเยีย (Hydrangea)

         ไฮเดรนเยีย (Hydrangea) เป็นไม้พุ่งสูง 1-3เมตรจัดเป็นพืชหลายฤดูชอบอากาศหนาวเย็น บางชนิดเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้เลื้อยแต่ส่วนใหญ่มักเป็นไม้พุ่มเตี้ยใบเกิดแบบตรงข้ามแผ่นใบมีขนาดกว้างใหญ่ขอบใบจักช่อดอกเกิดส่วนปลายกิ่งหรือยอด  ลำต้นดอกประกอบด้วยใบประดับที่มีสีสวยงามแล้วแต่พันธุ์ ไฮเดรนเยียอาจผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้ แต่ถ้าเป็นชนิดที่อยู่ในเขตอบอุ่นจะผลัดใบ พักตัวในฤดูหนาว
                      รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
       
        ดอกของไฮเดรนเยียเกิดที่ปลายยอดกิ่งหรือยอดลำต้น เป็นช่อดอกแบบช่อเชิงหลั่นหรือช่อแยกแขนง(corymbsorpanicles) ช่อดอกประกอบด้วยดอกสองแบบคือกลุ่มดอกสมบูรณ์เพศซึ่งมีขนาดเล็กที่อยู่บริเวณใจกลางช่อดอกใหญ่ ส่วนกลุ่มดอกที่มีขนาดดอกย่อยใหญ่สะดุดตานั้นความจริงเป็นดอกที่เกิดจากกลีบดอกประดับดูสะดุดตา เกิดเป็นวงรอบขอบนอกของช่อดอกใหญ่ไฮเดรนเยียบางชนิดมีช่อดอกซึ่งประกอบด้วยดอกย่อยสมบูรณ์เพศ ทั้งช่อเลยก็มี ดอกไฮเดรนเยียส่วนใหญ่จะมีสีขาวเป็นหลัก แต่บางชนิด เช่น H. macrophylla อาจเป็นสีน้ำเงิน แดง ชมพูหรือม่วง ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความเป็นกรดหรือด่างของเครื่องปลูก หากเครื่องปลูกมีสภาพเป็นกรด pH 5.0-5.5 สีดอกจะออกเป็นสีน้ำเงิน ถ้าสภาพเป็นด่างจะให้ดอกสีม่วงหรือชมพูถ้าปลูกในเครื่องปลูกที่สภาพเป็นกลางดอกไฮเดรนเยียจะมีสีครีมซีด  ไฮเดรนเยียขยายพันธุ์ได้โดยตัดชำกิ่งอ่อนในช่วงฤดูฝนหรืออาจใช้กิ่งกลางอ่อนกลางแก่ก็ได้ในช่วงฤดูร้อน สำหรับในต่างประเทศไฮเดรนเยียมีการพักตัวในฤดูหนาว เขาใช้วิธีตัดกิ่งแก่จากต้นที่พักตังทิ้งใบหมด นอกจากนี้เขายังขุดเอากอขึ้นมาตัดหน่อหรือกิ่งที่อยู่ใต้ดิน (suckers) ออกมาปักชำเป็นต้นใหม่ หรือทำการตอนกิ่ง(layering) เพื่อให้ออกรากจากนั้นจึงขุดแยกไปปลูกต่อไปสำหรับการขยายพันธุ์ในประเทศไทยโครงการหลวงได้ทำการขยายพันธุ์โดยวิธีการปักชำกิ่งช่วงที่เหมาะสมสำหรับการขยายพันธุ์คือช่วงฤดูฝนเพราะสภาพอากาศชื้นและเป็นช่วงที่ต้นพันธุ์แตกหน่อกิ่งก้านมากทำให้มีกิ่งพันธุ์จำนวนมาก การเพาะชำอาจปักชำในกระบะชำที่มีทรายหยาบและแกลบดำเป็นวัสดุปักชำและใช้ฮอร์โมนเร่งราก ช่วยให้มีจำนวนและความยาวรากเพิ่มขึ้นจากนั้นจึงย้ายกิ่งลงถุงพลาสติกดำ
 
 

ดอกไม้ประจำชาติไทย

                                     

                                           รูปภาพที่เกี่ยวข้อง



         ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน เป็นต้นไม้พื้นเมืองของเอเชียใต้ ตั้งแต่ปากีสถาน อินเดีย พม่า และศรีลังกา โดยนิยมปลูกกันมากในเขตร้อน สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่โล่งแจ้ง และเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาหลายสิบปี โดยมีการเสนอให้ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัด จนกระทั่งมีการลงนามให้เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2544 เนื่องจาก ต้นราชพฤกษ์ ออกดอกสีเหลืองชูช่อ ดูสง่างาม อีกทั้งยังมีสีตรงกับ สีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น "ต้นไม้ของในหลวง" และมีการลงนามให้ต้นราชพฤกษ์ เป็นหนึ่งใน สัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยมี    1. ช้าง เป็นสัตว์ประจำชาติไทย   2. ศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติไทย และ  3. ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย

    เหตุผลที่เลือกเป็นดอกไม้ประจำชาติ
    1. เนื่องจากเป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
    2. มีประวัติเกี่ยวข้องกับประเพณีสำคัญ ๆ ในไทยและเป็นต้นไม้มงคลที่นิยมปลูก
    3. ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย เช่น ใช้เป็นยารักษาโรค อีกทั้งยังใช้ลำต้นเป็นเสาเรือนได้ เป็นต้น
    4. มีสีเหลืองอร่าม พุ่มงามเต็มต้น เปรียบเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา
    5. มีอายุยืนนาน และทนทาน
    6. ต้นราชพฤกษ์ มีรูปทรวงและพุ่มที่งดงาม มีดอกเหลืองอร่ามเต็มต้น แลดูสวยงามยิ่งนัก
    7. ดอกราชพฤกษ์มีสีเหลือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติไทย เป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนา และยังเป็นสัญลักษณ์ของวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
    8. นอกจากนี้ตามตำราไม้มงคล 9 ชนิด ยังระบุไว้ว่า ต้นราชพฤกษ์เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นใหญ่ ความมีอำนาจวาสนา มีโชคมีชัย





  

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ดอกลิลลี่

        ดอกลิลลี่ เป็นไม้ดอกประเภทหัว มีดอกขนาดใหญ่สง่างามและสวยงามมาก บางชนิดมีกลิ่นหอมมาก และเป็นดอกไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในปัจจุบัน ใช้ได้ทั้งไม้ตัดดอกและไม้กระถาง ชนิดที่นิยมปลูกในปัจจุบันคือ ลิลลี่ปากแตร เพราะดอกมีรูปทรงเหมือนแตร ชนิดนี้มีดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ในต่างประเทศเรียก อีกชนิดหนึ่งเป็นลูกผสมเอเชีย  มีช่อดอกตั้ง มีดอกหลายสี ชนิดนี้มีดอกไม่หอม อีกชนิดหนึ่งมีดอกหอมมากมีราคาแพงที่สุด คือลูกผสม ในพื้นที่ของโครงการหลวง เช่น ดอยปุย ดอยอ่างขาง และดอยอินทนนท์ พบว่ามีลิลลี่พันธุ์พื้นเมือง หรือเรียกว่าลิลลี่ดอยขึ้นอยู่ในป่า ออกดอกในเดือนสิงหาคมดอกหอมมากโดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็น 
          ดอกลิลลี่ เป็นไม้ดอกประเภทหัว มีดอกขนาดใหญ่สง่างามและสวยงามมาก บางชนิดมีกลิ่นหอมมาก ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในปัจจุบัน ใช้ได้ทั้งเป็นไม้ตัดดอกและไม้กระถาง ชนิดที่นิยมปลูกในปัจจุบันคือ ลิลลี่ปากแตร เพราะดอกมีรูปทรงเหมือนแตร ชนิดนี้มีดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ในต่างประเทศเรียกอีกชนิดหนึ่งเป็นลูกผสมเอเชีย  มีช่อดอกตั้ง มีดอกหลายสี ชนิดนี้มีดอกไม่หอม อีกชนิดหนึ่งมีดอกหอมมากมีราคาแพงที่สุด คือลูกผสม ในพื้นที่ของโครงการหลวง เช่น ดอยปุย ดอยอ่างขาง และดอยอินทนนท์ พบว่ามีลิลลี่พันธุ์พื้นเมือง หรือเรียกว่าลิลลี่ดอยขึ้นอยู่ในป่า ออกดอกในเดือนสิงหาคมดอกหอมมากโดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็น